ประโยคนี้ ray เคยไว้สั้นๆว่าพอมาตรการกระตุ้นจาก fed ถูกนำออกมาใช้เยอะๆ
เส้นทางที่เลือกที่เหมือนจะมีผลกระทบน้อยสุดคือพิมพ์เศษกระดาษอัดเข้าในระบบเน้นให้สภาพคล่องไม่เหือดแห้ง
สิ่งที่จะเกิดคือเงินต้นทุน 0 ล้นระบบจนไม่รู้จะทำอะไรได้แต่เอาไปไล่ซื้อ all assets across the board
หุ้นจากที่เคย pe 10-20 ก็พร้อมจะไป pe unlimited เพราะเอาขยะมาแลก พร้อมซื้อทุกราคา หุ้นที่จำเป็นกับโลกอนาคตก็พร้อมซื้อทุกราคา
model ที่เคยใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นจากความคุ้มค่าการลงทุนมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่ม obsolete
เพราะเมื่อคุณขายหุ้นเพราะคิดว่ามันแพงก็พร้อมมีเศษกระดาษของคนอื่นมารับซื้อ
ทีนี้ระบบพิมพ์แบงค์กงเต๊กมาซื้อของก็จะดำเนินไปได้ตราบเท่าที่ชนชั้นล่างยังยอมทำงานผลิต productivity เพื่อเศษกระดาษอยู่
เดี๋ยนมองถึงการมาของ universal basic income หรือ รูปแบบคล้ายๆ helicopter money แจกเงินเข้ากระเป๋าโดยตรงให้เอาเศษกระดาษ
มาจับจ่ายกระตุ้น earning ของ big coporation หล่อเลี้ยงระบบปลอมๆไปเรื่อยๆ
ทีนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่ระบบปลอมๆนี้จะเริ่มไปต่อไม่ได้ถ้าคนที่ต้องเหนื่อยลงมือทำงานไม่อยากทำงานอีกต่อไป
เพราะก็เห็นว่าคนที่ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้ได้ ก็ต้องมองเผื่อ possibility เล็กๆของระบบล่มเกิด hyperinflation ขั้นรุนแรง
เขียนมาคร่าวๆเลยออกแบบการกระจาย asset ว่านับจากนี้เน้นกระจาย
1. หุ้นต้นน้ำผลิต commodity เพราะเศษกระดาษมีเยอะก็ต้องจ่ายแพงเพื่อแย่งชิง commodity ที่มีจำกัด
2. หุ้นที่จำเป็นกับโลกอนาคต
3. หุ้นที่ขาดไม่ได้ จำเป็นกับชีวิตปัจจุบัน
4. ทองคำ
5. ที่ดินห่างไกลสังคมที่อุดมสมบูรณ์ซักแปลง 5-10ไร่ ไว้เผื่อกรณี hyperinflation ต้องไถนาเอาเอง
6. พอร์ต active trading เน้นไว้หารายได้ค่ากับข้าวเป็นเงินสด
weigh ไม่ได้เรียงตามความสำคัญเน้นว่าข้อไหน relatively cheap ก็เทน้ำหนักไปทางนั้น
หลัง covid จบ แอบมองถึง inflation เบาะๆระดับ 50-300% ขึ้นทั้งราคาสินค้า ขึ้นทั้งรายได้คนทำงาน เป็นผลจากการ QE unlimited
เลยวาง plan ว่าจะรีบๆบริโภคของแพงลดราคาที่มีเกลื่อนตอนนี้ให้ถึงใจแล้วเตรียมเข้าโหมดประหยัดยาว สินค้าไหนซื้อล่วงหน้าตุนไว้ได้ไม่เน่าเสีย
อาจซื้อตุนไว้ก่อนเลยหนี inflation ถ้ามีจังหวะท่องเที่ยวราคายังไม่แพงมากก็อาจจะต้องรีบเที่ยวเพราะไม่อยากจ่ายแพงตอน inflation kick in
Cash is Trash กลายเป็น megatrend ระยะยาว
เส้นทางที่เลือกที่เหมือนจะมีผลกระทบน้อยสุดคือพิมพ์เศษกระดาษอัดเข้าในระบบเน้นให้สภาพคล่องไม่เหือดแห้ง
สิ่งที่จะเกิดคือเงินต้นทุน 0 ล้นระบบจนไม่รู้จะทำอะไรได้แต่เอาไปไล่ซื้อ all assets across the board
หุ้นจากที่เคย pe 10-20 ก็พร้อมจะไป pe unlimited เพราะเอาขยะมาแลก พร้อมซื้อทุกราคา หุ้นที่จำเป็นกับโลกอนาคตก็พร้อมซื้อทุกราคา
model ที่เคยใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นจากความคุ้มค่าการลงทุนมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่ม obsolete
เพราะเมื่อคุณขายหุ้นเพราะคิดว่ามันแพงก็พร้อมมีเศษกระดาษของคนอื่นมารับซื้อ
ทีนี้ระบบพิมพ์แบงค์กงเต๊กมาซื้อของก็จะดำเนินไปได้ตราบเท่าที่ชนชั้นล่างยังยอมทำงานผลิต productivity เพื่อเศษกระดาษอยู่
เดี๋ยนมองถึงการมาของ universal basic income หรือ รูปแบบคล้ายๆ helicopter money แจกเงินเข้ากระเป๋าโดยตรงให้เอาเศษกระดาษ
มาจับจ่ายกระตุ้น earning ของ big coporation หล่อเลี้ยงระบบปลอมๆไปเรื่อยๆ
ทีนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่ระบบปลอมๆนี้จะเริ่มไปต่อไม่ได้ถ้าคนที่ต้องเหนื่อยลงมือทำงานไม่อยากทำงานอีกต่อไป
เพราะก็เห็นว่าคนที่ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้ได้ ก็ต้องมองเผื่อ possibility เล็กๆของระบบล่มเกิด hyperinflation ขั้นรุนแรง
เขียนมาคร่าวๆเลยออกแบบการกระจาย asset ว่านับจากนี้เน้นกระจาย
1. หุ้นต้นน้ำผลิต commodity เพราะเศษกระดาษมีเยอะก็ต้องจ่ายแพงเพื่อแย่งชิง commodity ที่มีจำกัด
2. หุ้นที่จำเป็นกับโลกอนาคต
3. หุ้นที่ขาดไม่ได้ จำเป็นกับชีวิตปัจจุบัน
4. ทองคำ
5. ที่ดินห่างไกลสังคมที่อุดมสมบูรณ์ซักแปลง 5-10ไร่ ไว้เผื่อกรณี hyperinflation ต้องไถนาเอาเอง
6. พอร์ต active trading เน้นไว้หารายได้ค่ากับข้าวเป็นเงินสด
weigh ไม่ได้เรียงตามความสำคัญเน้นว่าข้อไหน relatively cheap ก็เทน้ำหนักไปทางนั้น
หลัง covid จบ แอบมองถึง inflation เบาะๆระดับ 50-300% ขึ้นทั้งราคาสินค้า ขึ้นทั้งรายได้คนทำงาน เป็นผลจากการ QE unlimited
เลยวาง plan ว่าจะรีบๆบริโภคของแพงลดราคาที่มีเกลื่อนตอนนี้ให้ถึงใจแล้วเตรียมเข้าโหมดประหยัดยาว สินค้าไหนซื้อล่วงหน้าตุนไว้ได้ไม่เน่าเสีย
อาจซื้อตุนไว้ก่อนเลยหนี inflation ถ้ามีจังหวะท่องเที่ยวราคายังไม่แพงมากก็อาจจะต้องรีบเที่ยวเพราะไม่อยากจ่ายแพงตอน inflation kick in